BACK TO EXPLORE

16 เซอร์ไพรส์ทุกคำกับ Omakase พรีเมียมที่สุด ร้านเดียวย่านสยาม!

กินตามใจเชฟบุญธรรม กับคอร์สอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม เสิร์ฟความอร่อยจากทะเลสู่จานคุณ





อีกเสน่ห์ในการกินอาหารญี่ปุ่นที่ทั้งตื่นเต้น ทั้งลุ้นมากก็คือเวลาตั้งใจว่าจะต้องไปกินอาหารญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า “Omakase” ความหมายก็คือ เราจะไม่รู้ว่าเชฟจะเสิร์ฟอะไรเรา และจะมาเป็นคอร์สใหญ่เสิร์ฟมาเรื่อยๆ หนึ่งคำจากเชฟคือของดีๆ จากทะเลญี่ปุ่น ทุกสิ่งพรีเมียม ราคาก็จะพรีเมียมด้วย ปกติจะหาร้านที่มีโอมากาเซะทาน ไม่ใช่ง่ายๆ และร้านเดียวที่เสิร์ฟซูชิแนวโอมากาเซะแถวสยามก็คือ Honmono Grand Omakase ชั้น G สยามพารากอนเท่านั้น อีกความพรีเมียมก็คือเชฟใหญ่ของร้านนี้คือ ‘เชฟบุญธรรม เชฟกระทะเหล็กไทยแลนด์’ ที่ชนะใจทุกคน




ถ้าอยากตื่นเต้นไปกับโอมากาเซะของฮอนโมโนะ แกรนด์ โอมากาเซะ แนะนำให้โทร.จองก่อน มีเซ็ตพรีเมียม 3 เซ็ต ราคา 2,500 บาท 3,500 บาท และ 6,500 บาท วันนี้ที่เราได้มาชิม เชฟบุญธรรมไม่บอกเราสักนิดว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรบ้าง เชฟยิ้มอย่างเดียวแล้วเชิญเราไปนั่งกันที่ซูชิ บาร์ แล้วเชฟก็ยื่นคำแรกให้เรา ที่ในชีวิตไม่เคยทานอาหารจานนี้มาก่อน เป็นความพิเศษที่สุดแล้ว





คำที่ 1: สเปิร์มปลาค้อดชิราโกะ รูปร่างเหมือนสมองหยักๆ สีขาวขุ่นๆ จุ่มมากับซอสพอนสึ เป็นน้ำส้มญี่ปุ่น ผสมเปลือกส้มยูสุและซีอิ๊ว จะเปรี้ยวๆ หอมๆ เนื้อของสเปิร์มปลาค้อดจะมัน นุ่ม ละมุน พอมีซอสพอนสึซึมเข้าไป รสชาติที่เข้ามาในปาก รู้ทันทีเลยว่าคำนี้ไม่เหมือนใคร ไม่ได้หาทานกันง่ายๆ แน่นอน เชฟบอกว่า “ช่วงนี้เป็นฤดูที่มีสเปิร์มปลาค้อดพอดี” นี่คือเหตุผลที่เราได้ทาน





คำที่ 2: ซูชิกับปลาชิมาอะจิ ได้เห็นลีลาการทำซูชิช้าๆ และนุ่มนวลจากเชฟ ที่ค่อยๆ ปั้นข้าว ประคับประคองให้พอดีคำไปกับปลา แล้วเชฟก็วางปลาชิมาอะจิลงไป ป้ายซีอิ๊วที่ผสมมิลินเหล้าหวานญี่ปุ่น และปลาแห้ง เชฟบอกว่า “ไม่ต้องจิ้มอะไรนะครับ” ซูชิคำแรกของเราเนื้อปลาเหนียวแน่น เต็มคำมาก ไม่ต้องจิ้มก็ลงตัวจริงๆ





คำที่ 3: ซูชิกับปลาฮิราเมะ เป็นปลาตาเดียว เชฟเอามาโรยเกลือบ๊วย และบีบมะนาว มีวาซาบิอยู่ในคำอยู่แล้ว คำนี้เปรี้ยวนิดๆ หอมมะนาว หอมบ๊วย และมีรสเค็มที่โคนลิ้น เป็นคำที่เซ็กซี่เลย




คำที่ 4: ซูชิกับปลามาได ความสนุกของการลิ้มลองโอมาซาเกะก็คือ ได้ดูปลายนิ้วของเชฟ ดูมูฟของเชฟปรุงอาหารให้เรานี่ล่ะ อย่างคำนี้สงสัยตั้งแต่ตอนเชฟแร่ปลา เพราะเชฟจะแร่เอาหนังแล้วบอกเชฟผู้ช่วยให้ลวกน้ำให้หน่อย คือเชฟเอาหนังปลามาโปะตอนสุดท้าย และเผาไฟด้วย ก็เลยได้ซูชิหอมปลามาก คำนี้มีเท็กซ์เจอร์ที่เต็มๆ คำดี





คำที่ 5: เต้าหู้ตับปลาอังโกะ ไม่เคยทานเต้าหู้รสชาตินี้มาก่อน เชฟเอามาราดกับซีอิ๊วที่หมักกับสาหร่ายทะเล มีดอกบ๊วยวางข้างบน ทานไปแล้วจะได้ความนวลของเนื้อเต้าหู้ และหอมเต้าหู้มาก ดอกบ๊วยทำให้ซ่า เปรี้ยวนิดๆ อร่อยมากๆ รู้สึกพรีเมียมที่ได้ลองคำนี้ทีเดียว





คำที่ 6: ซูชิกับปลาหน้าวัว เห็นเชฟต้องต่อสู้กับก้างของปลาตัวนี้ เชฟบอกว่า “ปลาตัวเล็ก เลยมีก้าง” เชฟปราณีตมาก ดึงก้างออกแล้วต้องเทสท์ก่อนอย่างละเอียดว่าไม่มีก้างแล้วแน่นะ ถึงจะประกบร่างซูชิมาให้เรา แล้วเชฟเอาตับปลาไปต้มทำซอสวางบนคำนี้อีกทีด้วย มันในรสชาติดี




คำที่ 7: ซูชิกับปลาโนโดกุโระ เอาเป็นว่านุ่มที่สุด เชฟเอามากริลล์เพิ่มตอนท้าย อร่อยทุกวินาทีที่เคี้ยวถึงใจมาก




คำที่ 8: คำนี้เป็นหอยนางรมมาคากิจากทะเลญี่ปุ่น เชฟเล่าว่า “ฤดูหอยนางรมจะเริ่มตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคม จนถึงกลางเดือนมกราคม” เราเลยได้ทานหอยนางรมสดๆ กัน เชฟเอาน้ำพอนสึมาราด ผสมกับน้ำมันจากเห็ดทรัฟเฟิล สดชื่นมาก เป็นหอยตัวใหญ่กำลังดีที่เชฟจะตัดหอยเป็นสามคำในหนึ่งตัวให้เราอีกด้วย





คำที่ 9: ข้าวคลุกกับทาโร่สับ คำนี้มีตื่นเต้นเล็กน้อย เชฟเอาปลาทาโร่มาสับ แล้วผสมโชยุ ใส่ใบคิโนเหมะผสมลงไปเพื่อเพิ่มความหอม ตอนสุดท้ายนี่สิมีกุ้งหวานสับมาโปะ และเชฟจะค่อยๆ คีบไข่หอยเม่นบรรจงวางข้างบนอีกครั้ง มีราดซีอิ๊วตอนท้ายอีกเล็กน้อย คงไม่ต้องบรรยายว่าจะอลังการในปากเราขนาดไหน





คำที่ 10: ซูชิกับอากามิ เป็นปลาบลู ฟิน ทูน่า และส่วนนี้คือส่วนหลังของปลา เนื้อปลาจะมันน้อยที่สุด เชฟเอาเนื้อปลาไปหมักกับซีอิ๊ว และคัตสึโอะ เต็มคำมาก หอมปลาผสมซีอิ๊วมาก เนื้อปลานวลลิ้น เป็นคำที่ต้องหลับตาแล้วค่อยๆ เคี้ยวกันเลย




คำที่ 11: ซูชิปลาไหลธรรมชาติ ไม่เหมือนปลาไหลที่เรากินๆ กันเลยนะ เพราะไม่ใช่ปลาไหลเลี้ยง เชฟเอามาย่างจะได้ความกรอบของหนังอย่างแรง ถ้าเป็นปลาไหลปกติจะไม่กรอบแบบนี้ และมาโรยเพิ่มด้วยเปลือกส้มยูสุแห้ง ทานคำนี้แล้วขอจงลืมทุกปลาไหลที่เคยกินมาทั้งชีวิตจริงๆ




คำที่ 12: หอยเชลล์ห่อสาหร่าย หอยตัวใหญ่มาก เชฟเอาไปย่างให้หอมๆ แล้วทาเทอริยากิสำหรับหอยโดยเฉพาะ ห่อมากับสาหร่าย เนื้อหอยสด เหนียวกำลังดีนิดๆ ไม่เคยกินหอยเชลล์แบบนี้เลย




คำที่ 13: ซูชิกับโอโทโร่ ที่สุดแห่งซูชิคือคำนี้ ขอยอมทุกสิ่งเลยดีกว่า โอโทโร่เป็นส่วนท้องของปลามากุโร่ที่พรีเมียมที่สุด เพราะมีมันแทรกเยอะที่สุด เชฟย้ำเลย “ขอไม่ต้องจิ้มอะไรเลยนะครับ” เพราะเนื้อปลาดีมากอยู่แล้ว และเชฟแร่มาสดๆ โปะบนข้าวเลย เชฟบอกว่า “ไม่อยากไปทำอะไรกับมันมาก” จริงที่สุด เพราะคำนี้สด อร่อยที่สุดแห่งความเป็นปลา




คำที่ 14: ซูชิกับชูโทโร่ เป็นปลามากุโร่ที่มีมันแทรกระดับกลาง ก่อนโปะบนข้าว เชฟเอาใบชิโสะมาตบๆ กับมือแล้วปั้นข้าว เลยหอมเก๋ๆ ขึ้นมา




คำที่ 15: มาเป็นถ้วยซุป ไม่ใช่ซุปธรรมดานะ คือซุปปูหิมะ ที่มีน้ำสต็อคเป็นปลาอบแห้ง 3 ปี มีผักปวยเล้ง เห็ดชิมาจิขาว ต้นหอมซอย ชื่นใจๆ



คำสุดท้าย คำที่ 16: ของหวานคือตอนจบของทุกมื้ออาหาร เหมือนกันกับโอมากาเซะ เป็นโมจิไอศครีมวานิลลา ที่มีถั่วดำเม็ดเป้งของญี่ปุ่นวางอยู่ข้างบน อร่อยๆๆๆๆ เป็นช้อตจบที่ประทับใจ



อยากบอกความในใจกับเชฟว่า “เชฟ…นี่คือโอมากาเซะที่จะไม่มีวันลืม ทุกความทรงจำของทุกคำยังอยู่จริงๆ และอยากไปนั่งซูชิ บาร์นี้อีกครั้ง”



คอร์สนี้ทั้งหมดราคา 3,500 บาท ได้ความดีงามจากท้องทะเลมาขนาดนี้ เราใช้เวลาทานทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าทานกับแบบทิ้งห้วงจะใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง ประสบการณ์ความสุนทรีย์เช่นนี้ ร้านเดียวกลางสยาม Honmono Grand Omakase ชั้น G สยามพารากอน โทร. 02-610-9551