BACK TO EXPLORE

Chilli Thai พลิกโฉมอาหารไทยให้สวยเลอค่าเหมือนงานศิลปะ

ทุกไอเดียผ่านการคิดและคัดสรรที่สุดแห่งความอร่อยจากผู้หญิงคนนี้

พูดถึงอาหารไทยที่อยู่ใจกลาง OneSiam นัดมาที่สยามพารากอนก็ต้องมาที่ Chilli Thai Restaurant ชั้น G ฝั่ง North แต่อาจจะต้องรอคิวเล็กน้อย เพราะว่ามาเมื่อไหร่ โต๊ะจะเต็มเกือบทุกที่นั่ง มองดูแล้วไม่ได้มีแค่คนไทย แต่ชาวต่างชาติมากันอย่างแน่นเพื่อที่ชิมอาหารไทยรสดั้งเดิมเข้มเต็มรสขนาดนี้ คุณตู๋ - เลิศรินิญฒ์ สิปปภาค หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านนี้เลยต้องมาเล่าถึงที่มาที่ไปของร้านที่เกิดขึ้นพร้อมกับสยามพารากอน 12 ปีที่ผ่านมา Chilli Thai Restaurant ได้รับการบันทึกเอาไว้ว่าเป็นร้านอาหารไทยที่เพลินตาแล้วยังรสชาติจัดจ้านสะใจที่ใครๆ ก็ต้องมา


พี่ตู๋ย้อนอดีตกลับไปเมื่อ 25 ปีที่แล้วว่าได้มีโอกาสไปเรียนที่อังกฤษในยุคที่ไปอังกฤษยังไม่มีบินตรง ต้องไปต่อเครื่องที่อินเดีย นานขนาดนั้นก๊วนเด็กไทยของพี่ตู๋ก็โหยหาอาหารไทยอร่อยๆ ยาก ลงมือทำกับข้าวเองเป็นจุดเริ่มต้นของความรักในอาหารไทยของเธอ “วันเสาร์เทิตย์เราไปอยู่แฟลตบ้านเพื่อน ทุกคนจะอยากกินอาหารไทย แต่เราเป็นนักเรียนเงินก็น้อย เราได้ฝึกทำอาหารไทยแล้วด้วยความที่เพื่อนกินแล้วชมว่าอร่อยดี เราก็บ้าคำชม ยิ่งทำใหญ่เลย เมนูตอนนั้นเริ่มจากทำแกงเขียวหวาน ใช้วัตถุดิบที่ดัดแปลงพลิกแพลง สูตรก็หาเอาจากตำราทำอาหาร นั่งอ่านว่ามีอะไรบ้าง ถ้าไม่มีลองใช้ผักอีกอย่างอื่นแทน พอกลับมาเมืองไทยกำลังจะได้ทำงานประจำเกี่ยวกับแบรนด์แฟชั่น แต่เพื่อนสนิทที่เป็นพาร์ทเนอร์กันถึงทุกวันนี้ คุณอีน นราวดี บัวเลิศ ชวนให้ลองมาทำร้านอาหารก่อน เพราะเขาทำอสังหาริมทรัพย์ แล้วหน้าหมู่บ้านที่เป็นเซลส์ออฟฟิศที่ไม่อยากทุบทิ้ง เลยคิดว่ามาทำร้านอาหารกัน ลองทำดู เพื่อนคุณแม่ของคุณอีน ป้าเป้า นุชนันท์ โอสถานนท์ ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นคอลัมนิสต์ที่ทุกคนรู้จักป้าเป้าเป็นอย่างดี เป็นกูรูเรื่องอาหาร เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา ป้าเป้าก็มาสอนทำเค้ก ทำอาหาร เริ่มต้นจากการเปิดร้านอาหารเล็กๆ แล้วประสบความสำเร็จมาก นึกถึงภาพเมื่อก่อนที่ขายเดือนหนึ่งได้ยอดขายเป็นล้านนะเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ร้านก็อยู่ไกลแถวแจ้งวัฒนะ ชื่อร้านรักเอย ที่จะดังในกลุ่มคนอยู่ช่วงหนึ่ง”


“เราก็มีความสุขมาก คิดว่าเป็นทำงานเจ้าของกิจการแล้วเรารู้สึกสนุก ก็เปิดร้านรักเอยมา 9 ปี ไม่ได้ขยายอะไร จนหนทางได้นำมาสู่สยามพารากอน ตอนที่ทางสยามพารากอนเปิด ตู๋ได้คุยกับทางทีมสยามพิวรรธน์ว่ามีร้านอาหารอะไรบ้าง เราก็เห็นว่าที่ไม่มีเลยคืออาหารอีสาน ตอนนั้น 12 ปีที่แล้ว ไม่มีร้านอาหารอีสานไหนเลยกล้ามาอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่พี่ด้วยความที่ชอบทานอาหารอีสานเป็นชีวิตจิตใจ ช่วงแรกไม่ได้ใช้เวลานานที่จะทำให้คนรู้จักในชื่อ “คาเฟ่ชิลลี่” แต่ใช้เวลานานที่ทำให้คนรู้ว่าอาหารไทยของเราไม่ได้แพ้ที่ไหน คุณควรให้ราคาส้มตำหนึ่งจานเท่ากับซีซาร์สลัดได้แล้ว เพราะซีซาร์ทำง่ายมาก แต่ส้มตำไม่ใช่จับมือวันนี้แล้วตำอร่อยเลย ทุกสิ่งเป็นงานศิลปะ เป็นเรื่องของวัตถุดิบ”

 

ขับรถชิมอาหารอีสานหารสชาติที่แท้จริงอยู่ 1 เดือน!

“พอตู๋รู้ว่าจะเปิดร้าน ก็ขับรถวนอยู่แถวอีสานเกือบหนึ่งเดือน ไปอุดรธานี ขอนแก่น อุบลฯ ทะลุไปเวียงจันทร์ หลวงพระบางนี่ไปบ่อยมาก ชอบมาก เราก็ดูว่าของท้องถิ่นที่นั่นมีอะไร เราจะจับพวกเขามาเพิ่มคุณค่าให้เอง แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในรสชาติที่เหมือนเดิม แค่ตู๋จะจัดแต่งให้สวยขึ้น อาหารต้องใช้ความใส่ใจ ลงรายละเอียด ละเมียดละไมมาก พอได้เปิด Chilli Thai เป็นอาหารอีสานร้านแรกก็ภูมิใจมากที่ทำให้ร้านอีสานต่อๆ มาเจริญขึ้น เป็นการพลิกโฉมอาหารอีสานครั้งแรก”

 

 

สูตรอาหารดั้งเดิมกับวัตถุดิบที่แปลกใหม่

พี่ตู๋เล่าว่าสูตรอาหารมาจากพื้นฐานของความชอบส่วนตัว เอามาลองทำและปรับให้เป็นสไตล์ตัวเอง “เราเน้นวัตถุดิบที่ดี แต่ละจานจะจัดแต่งให้เก๋ไก๋ มีการนำเสนอไม่เหมือนคนอื่น หรือคอหมูย่างเราก็ใช้หมูดำจากสเปนทำให้เนื้อนุ่มมาก แต่ยังคงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม เราไม่ประนีประนอมกับรสชาติ ปลาร้าคือปลาร้า ทุกอย่างชัดเจน หรือต้มแซ่บหมูเด้ง ที่เป็นเมนูดังของเรา ต้องให้ความดีสามี (พี่ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค) เขาบอกต้องเอาหมูเด้งมาทำนะ แล้วหาวิธีตีหมูเด้ง ตีกันจนหน้ามืด เราไม่ต้องการใช้หมูที่มีสาร เลยใช้วิธีการนวด แล้วเวลาเก็บหมู ยากกว่าเก็บผักอีก หมูเด้งจะอยู่ในช่องฟรีซไม่ได้ ต้องอยู่ในความเย็นชิลล์ๆ อยู่ในตู้เย็นก็ไม่ได้ด้วย ถ้าเอามาบีบ หมูจะพองตัวเด้งเลย”

พอช่วงที่สยามพารากอนเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ พี่ตู๋ก็เปลี่ยนจากชื่อร้าน Café Chilli มาเป็น Chilli Thai Restaurant “คาเฟ่ชิลลี่เราจะเน้นอาหารอีสานอย่างเดียว แต่ Chilli Thai จะเป็นอาหารไทย มีแกงเขียวหวาน ปูผัดผงกะหรี่ มัสมั่น ซึ่งลูกค้าก็ให้การตอบรับที่ดี โดยเฉพาะจากคนต่างชาติ อย่างในเฟซบุ๊คเราไม่ได้ทำการตลาด ลูกค้าคนจีนก็จองเข้ามา วันธรรมดาโต๊ะก็เต็ม อย่างอาหารของตู๋ต้องใช้เวลานิดนึง ไม่ได้สำเร็จรูปทำจากครัวกลาง ซอสทุกอย่างปรุงแบบสดใหม่”  

 

รีวิวกันปากต่อปาก

พี่ตู๋เล่าว่าลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่จะเดินมาเปิดเมนูและให้โอกาสเข้ามารับประทาน รีวิวบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ในหมู่คนจีน คนเกาหลีและตะวันออกกลางก็หลงรักเมนูอาหารไทยรสเด็ดที่นี่ “เมนูฮิตเลยก็จะมีส้มตำไข่เค็ม ส้มตำหอยเชลล์ก็ชอบ ตอนนี้มีปลากระพงเฟสติวัลก็ฮิต ปูผัดผงกะหรี่ กุ้งแม่น้ำ ที่ขาดไม่ได้เรามีน้ำมะพร้าวสแตมป์โลโก้ มีคนชื่นชมในไอจีว่ามากี่ทีก็ชอบ เขารับรู้ได้ถึงความตั้งใจเหมือนกินอาหารของดีไซเนอร์ แต่รสชาติเข้าถึงได้ทุกจาน ตู๋เห็นแล้วก็ดีใจ ความสุขไม่ใช่แค่ขายดี ตู๋มีความสุขที่ได้เดินมาแวะที่ร้าน เจอลูกค้าที่รู้จักก็ยังไปทัก อาจจะเจอข้อบกพร่องบ้าง แต่เราก็จะบอกทีมว่าต้องผิดให้น้อยที่สุด”

และการได้มาพูดคุยกับพี่ตู่ในวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ได้มาลองเมนูสุดอลังจากร้าน Chilli Thai Restaurant ที่เห็นแล้วต้องรีบหยิบช้อนส้อมแบบไม่รอเพื่อนกันเลย

เริ่มที่เมนูแรก “เมี่ยงบัวหลวง” ราคา 150 บาท เป็นความสวยงามที่เห็นแล้วรู้สึกภูมิใจในการอาหารไทย ตอนที่ยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะทุกคนตื่นตาตื่นใจมาก ถึงขนาดที่คนเดินผ่านหน้าร้านต้องหยุดดูกับความละเมียดละไมและสวยงามของเมี่ยงที่ใช้กลีบบัวที่วางเครื่องเคียงต่างๆ ที่จัดอย่างพอดีคำ ราดน้ำจิ้มที่เคี่ยวมาแบบข้นๆ หวานหอมกลมกล่อมเป็นจานเรียกน้ำย่อยที่ดีงามมากๆ



เบาๆ กันไปที่เมี่ยงแล้วเริ่มให้หนักท้องขึ้นด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยที่จะทำให้คนทั้งโต๊ะกินไปคุยไปด้วยความสนุกสนานอย่าง “ชิลลี่ ไทย แอพ” ราคา 450 บาท ยกเสิร์ฟมาทั้งตะหร้าหวายที่อัดแน่นไปด้วยปอเปี๊ยะ ไก่ทอด ข้าวตัง หมูสะเต๊ะ และถุงทอง



อีกเมนูที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยอย่าง “เมี่ยงอีสานผักสด” ราคา 350 บาท เสิร์ฟมาอย่างสบายตาสบายใจ ผักสดแซมด้วยดอกไม้สวยๆ กินกับหมูกรอบ หมูยอ ราดน้ำจิ้มและเครื่องเคียง จัดไปให้พอดีคำ


มาถึงไฮไลท์เด็ดที่มาทุกครั้งต้องสั่งคือ “ต้มแซ่บหมูเด้ง” (ไซส์ S 250 บาทไซส์ L 550 บาท) หมูเด้งสมคำร่ำลือ เคี่ยวแล้วดึ๋งดั๋งในปาก เคล้ากับน้ำซุปรสชาติจัดจ้านแซ่บซี้ด ซดได้เรื่อยๆ จนหมดไม่รู้ตัว



อีกจานที่ไม่สั่งเหมือนมาไม่ถึงก็คือ “สันคอหมู Iberico ย่าง” เป็นคอหมูที่นำเข้าจากสเปน ย่างมาอย่างพอดี เนื้อนุ่มจิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วแกล้มพริกเข้าไป จะกินเปล่าๆ หรือกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็ได้



ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่พี่ตู่แอบกระซิบมาว่าขายดีมากๆ “สาคูกล้วยบวชชี” ราคา 100 บาท สาคูนุ่มหนึบต้มกับน้ำอัญชัญออกมาเป็นสีม่วงสวยกินคู่กับกล้วยบวชชีที่ไม่หวานมากเกินไป เป็นส่วนผสมที่เข้ากันอย่างลงตัว